ธาตุกาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “สงสัยร่างกาย”
ขออนุญาตถามค่ะ ขณะล้มตัวลงนอนเจริญสติ พุทโธเรื่อยๆ มือวางบนท้องและภาวนา สัมผัสร่างกายได้ว่าท้องแห้งยุบติดด้านหลัง แต่ความคิดก็ทำงานว่า เราผอมขนาดนี้เลยหรือ แว็บเดียวก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นเพียงหนังหุ้มกระดูก แต่ที่เห็นก็ไม่ประกอบด้วยอวัยวะส่วนอื่น อย่างนี้เวลาภาวนา เราควรพุทโธต่อไปๆ แบบเดิมเรื่อยๆ หรือไม่ ขอความเมตตาจากหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : นี่คำถามนะ คำถามว่า เวลาเขาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ขณะล้มตัวลงนอน เจริญสติพุทโธๆ เรื่อยๆ ไป มือวางบนท้องและภาวนาต่อเนื่อง สัมผัสร่างกายได้ว่าแห้งยุบติดหลังไง
สัมผัสร่างกายได้ว่าท้องแห้งยุบติดหลังนี่งงแล้ว เวลางง เวลางงไง เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ฝึกหัด ถ้าเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
เราจะยกหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตลอด เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์” คือท่านสิ้นกิเลส คำว่า “สิ้นกิเลส” แสดงว่าท่านได้เผชิญหน้ากับกิเลสมาทุกขั้นตอน แต่ละชั้นแต่ละตอนกว่าจะเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลส มันโดนกิเลสหลอกมาตั้งแต่เริ่มต้น
เวลาเริ่มต้นทำความสงบของใจนี้สำคัญมาก
สำคัญจนหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดว่า การประพฤติปฏิบัติยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น เพราะหลวงตาพระมหาบัวท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วท่านก็เป็นพระอรหันต์
คำว่า “เป็นพระอรหันต์” คือหลวงปู่มั่นท่านได้แก้ไขมา ท่านได้อบรมบ่มเพาะมา จนหลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา”
ฉะนั้น เวลาเป่ากระหม่อมมา มันก็ต้องเผชิญกับกิเลส ชำระล้างกิเลสสิ้นไปจนเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านมาสรุปลงโดยความพิจารณาของท่านว่า การปฏิบัติยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้นทำความสงบของใจแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาให้ได้ ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาได้ นี่คู่ที่ ๑ ถ้าผ่านไปได้
หลวงตาพระมหาบัวท่านไปถามปัญหาหลวงปู่แหวนไง ว่าเริ่มต้นที่มันยากที่สุด ขั้นต้นมันเป็นจริงหรือเปล่า ท่านถึงไปถามหลวงปู่แหวนก่อนว่าเริ่มต้นถูกต้องหรือไม่ พอหลวงปู่แหวนท่านตอบปัญหามา ผัวะ! เริ่มต้นถูกต้อง ท่านถึงถามปัญหาต่อไป
ท่านบอกว่าเอ็ดเป็นชั่วโมงเลยนะ ไหลออกมานี่ แหม! ธรรมไหลออกมามหาศาลเลย จนไปถึงสิ่งที่ยากอีกคราวหนึ่งคือคราวสุดท้าย
สุดท้ายแล้วพอหลวงปู่แหวนท่านพูดธรรมะจบ ท่านท้าหลวงตาว่า “มหา มหามีอะไรสงสัยไหม ถ้ามีสงสัยให้ถามมา”
หลวงตาพระมหาบัวท่านตอบว่า “เกล้ากระหม่อมไม่สงสัยสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เกล้ากระหม่อมหาธรรมะแบบนี้ เกล้ากระหม่อมอยากฟังธรรมะแบบนี้ เกล้ากระหม่อมแสวงหาตลอด อยากหาธรรมะแบบนี้”
เห็นไหม คำว่า “ยาก” ยากอยู่สองคราว คือคราวเริ่มต้นและคราวจะสิ้นสุดกิเลส การประพฤติปฏิบัติมันยากอยู่ตรงนั้นไง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เราจะยกหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตลอด เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ คำว่า “พระอรหันต์” คือท่านได้ผ่านวิกฤติ ท่านได้เห็นกิเลส ท่านได้ขุดคุ้ยค้นคว้า ท่านได้ชำระล้างกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา ถ้าเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา ท่านถึงได้สอนไว้และบอกไว้
“อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ จะไม่เสีย”
ฉะนั้น อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธไง เวลาคนฝึกหัดปฏิบัติใหม่ จะเข้าสู่คำถามไง คำถามว่า “ขณะนอนล้มตัวลงเจริญสติพุทโธๆ เรื่อยๆ มือวางบนท้องและภาวนา สัมผัสร่างกายได้ว่าท้องแห้งยุบหมดเลย”
เห็นไหม ท้องแห้งยุบเพราะอะไร เพราะเอามือวางไว้บนท้อง แล้วความรู้สึกว่าฝ่ามือมันสัมผัสถึงผิวหนังด้านหลังเลย จนท้องมันไม่มีเลย ในร่างกายของมนุษย์ต้องมีลำไส้ มีกระเพาะอาหาร มีทุกอย่างพร้อม แล้วมันไม่มีไปไหนล่ะ
นี่คือความเห็นไง ความรู้สึกของมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีการศึกษา เราเข้าใจถึงเรื่องสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อเท็จจริงได้ มันเป็นไปไม่ได้ว่าท้องคนมันจะไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรายังหายใจอยู่ไง เพราะเรายังมีชีวิตอยู่ไง เพราะเราเป็นปกติไง แล้วลำไส้ กระเพาะอาหารมันหายไปไหนล่ะ
มันไม่หายไปไหน มันเป็นอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เรื่องของใจไง เวลาความรู้สึกของใจมันมหัศจรรย์ เวลาใจมหัศจรรย์ เห็นไหม เวลาการประพฤติปฏิบัติยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น
คราวเริ่มต้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีการศึกษา เรามีสติมีปัญญา สิ่งใดที่มันรู้นอกเหนือสติ นอกปัญญา นอกข้อเท็จจริงของวิทยาศาสตร์ เอ๊อะ! เราไม่ยอม นี่ไง เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องทางโลก เรื่องวัตถุ เรื่องธรรมชาติ มันเป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่แล้ว
แต่เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่คำถาม “เวลาก่อนนอนเจริญสตินึกพุทโธเรื่อยๆ มือวางบนท้องและภาวนาสัมผัสร่างกายได้ว่าท้องแห้งยุบจนติดหลัง”
สิ่งที่มันยุบจนติดหลัง ในการภาวนาๆ เวลาคนทำความสงบของใจเข้ามาๆ เวลาใจสงบแล้ว สงบโดยธรรมชาติ สงบโดยอานาปานสติ โดยสงบพุทธานุสติ สงบ จิตสงบ โดยมากเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าโดยที่ว่ามันมีมารโดยก่อกวน มารมันพลิกมันแพลง ออกรู้ออกเห็นสิ่งต่างๆ นั่นก็เป็นเรื่องของจิตไง
แต่เวลาเราพุทโธๆ ของเรา ถ้าเราพิจารณากายของเราไป เราระลึกถึงร่างกายของเราไป หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามือวางบนฝ่าท้องแล้วมีอาการจนฝ่ามือไปติดถึงผิวหนังข้างหลังว่ามันไม่เห็นมีอะไรเลย นี่มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกัน ขัดแย้งนี้คืออะไร
สิ่งที่เวลาฝึกหัด ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีอวิชชา มีพญามาร มันมีมารของมัน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน สิ่งที่เราทำความสงบของใจเข้ามา พอใจมันเป็นอิสระมันมีความรู้ความเห็น ถ้าพูดถึงในการประพฤติปฏิบัตินะ นี่ความรู้ของจิตไง
จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก ยิ่งถ้าหลวงปู่มั่น เรื่องนี้ชำนาญมาก เรื่องจิตตภาวนา หลวงปู่มั่นชำนาญมาก ชำนาญเริ่มต้นมันมีความรู้ความเห็นอย่างไร ถ้ามันความรู้ความเห็น ถ้ามันเป็นอำนาจวาสนาบารมีตามข้อเท็จจริง นั่นเป็นอำนาจวาสนาของคนคนนั้น
ถ้าอำนาจวาสนาของคนคนนั้น แต่ความรู้สึกนึกคิดมันยอมรับสิ่งนั้นหรือไม่ มันยอมรับสิ่งนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะถ้ายอมรับสิ่งนั้นมันไม่มีเหตุไม่มีผลไง ถ้ามันมีเหตุมีผล มันมีเหตุมีผลโดยการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เรามีสติมีปัญญา “มันต้องเป็นอย่างนี้สิ มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
“สิ่งที่มันเป็นอย่างนี้สิ มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้” ก็ความเห็นเราไง ถ้าความเห็นเรามันเจือไปด้วยอะไร มันก็เจือด้วยมารไง มันเจือด้วยกิเลสไง
แต่ถ้ามันมีความรู้ตามข้อเท็จจริง ตามข้อเท็จจริงที่เราฝึกหัด นอนหายใจเข้านึกพุท นอนหายใจออกนึกโธ ถ้ามันรู้มันเห็นสิ่งใดนี้คือประสบการณ์ เราก็มีสติมีปัญญา ความรับรู้อย่างนั้น
จิตของคนนะ เวลาทำความสงบของใจ เวลาจิตมันจะสงบมันจะดิ่งลงที่สูง ดิ่งลงต่ำ เราตกใจเกือบตาย ทั้งๆ ที่มันจะเป็นสมาธินะน่ะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
เวลามันไม่เป็นสมาธิก็บอกอยากจะให้มันเป็น เวลามันเป็นก็ตกใจมาก เวลาเป็นก็ไม่รู้ว่านั่นน่ะจะเป็นสมาธิ แต่ว่าถ้านั่นจะเป็นสมาธิ มันจะเป็นหรือมันยังไม่ได้เป็นไง ระหว่างไง จิตนี้มันเริ่มเปลี่ยนแปลง จิตนี้มันมีการกระทำ จิตนี้มันจะก้าวหน้าขึ้น ทีนี้สิ่งที่ก้าวหน้าขึ้นมันจะเข้าสู่ธรรม
แต่เราไม่เคยรู้จักว่าธรรมมันคืออะไร เราไม่รู้จักว่าธรรมมันเป็นอย่างไร แต่พอมันจะเป็น อู๋ย! ตกใจ อู๋ย! มันจะเป็นไป
ไอ้ตกใจหรือมันจะเป็นอย่างนั้นน่ะมันกลับไม่เป็น หรือมันไม่เป็นก็ได้ มันไม่เป็นหรอก มันเป็นแค่อาการ กว่ามันจะผ่านอาการอย่างนั้นไป กว่ามันจะเข้าสู่ความสงบ นั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ
ที่พูดถึง ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ สิ่งที่ทำมา สิ่งที่ได้สัมผัส จะบอกว่ามันผิด มันไม่ใช่ใช่ไหม
ไม่ผิด แล้วมันใช่ด้วย แต่มันใช่ด้วยประสบการณ์ของเราไง พอมันประสบการณ์ของเรา เราก็งงไง งงนะ ทั้งงง ทั้งตกใจ ทั้งสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วพอรู้ว่ามันเป็นความจริง มันควรจะเป็นไปได้ จะให้มันเป็นอย่างนี้อีกมันไม่เป็นแล้ว มันเป็นอย่างอื่น ถ้ามันเป็นอย่างอื่น มันจะเป็นของมันต่อเนื่องไป
แต่หลวงปู่มั่นสั่งไว้ “อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ”
อะไรจะเกิดขึ้น เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สติสัมปชัญญะยังอยู่กับเรา จิตของเรายังอยู่กับเรา สิ่งใดจะเกิดขึ้นเกิดจากจิต ตอนนี้เราฝึกหัด เราประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อจิตตภาวนา ถ้าจิตตภาวนา ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ ก็ให้ตั้งสติไว้ รักษาสิ่งนี้ไว้
นี่คำถามไง “แต่ความคิดก็ทำงานว่า เราผอมขนาดนี้เลยหรือ แว็บเดียวก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นเพียงหนังหุ้มกระดูก แต่ที่เห็นก็ไม่ประกอบไปด้วยอวัยวะส่วนอื่น อย่างนี้เวลาภาวนาไป ควรพุทโธต่อไปแบบเดิมเรื่อยๆ หรือไม่คะ”
เวลาถ้าเป็นการฝึกหัดปฏิบัติต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น สิ่งที่รู้ที่เห็น ดูและรับรู้ แต่ไม่ตามสิ่งนั้นไป เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นจากพุทโธ สิ่งนั้นเกิดจากจิตที่รู้นี้ ถ้าเราเคลื่อนจากฐาน คือจิตมันเคลื่อนออกไป สิ่งที่รับรู้นั้นแว็บหายหมดเลย
สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น ก็รู้จากจิตของเรานี้ ถ้าไม่รู้จากจิตของเรานี้ คำถามนี้จะไม่มี คำถามนี้มีเพราะจิตตภาวนา จิตไปรู้ จิตไปเห็น จิตไปรู้ จิตไปเห็น แต่จิตก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้
มันเป็นเพราะว่าเราฝึกหัดภาวนา แล้วสิ่งที่เป็น เป็นเพราะหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่แหละ ถ้าไม่มีหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันก็รับรู้แบบวิทยาศาสตร์ แบบธรรมชาติ แบบสัญชาตญาณ แบบโลกๆ แบบที่ว่าอวัยวะเต็มท้องไง แบบที่ว่าลำไส้ก็มี กระเพาะอาหารก็มี ทุกอย่างมีสมบูรณ์ของมัน ก็รู้แบบโลกๆ ไง
แต่ถ้ามันจะให้มีความรับรู้แบบธรรมขึ้นมาบ้าง แบบให้จิตมีประสบการณ์บ้าง เราก็งงนี่ไง เพราะงง เพราะสงสัย เพราะไม่เข้าใจ แล้วความสงสัย ความไม่เข้าใจ ก็อยากจะให้มันเป็นแบบโลก แบบเป็นข้อเท็จจริงว่า ในท้องก็ต้องมีลำไส้ มีกระเพาะอาหาร มีทุกอย่างพร้อม มือก็ต้องอยู่บนผิวหนัง มือมันจะไปสัมผัสถึงผิวหนังด้านล่างได้อย่างไร ในร่างกายไม่มีอะไรเลย โหรงเหรงไปหมดเลย
คนที่เขาฝึกหัดปฏิบัตินะ เวลาองค์ของสมาธิ วิตก วิจาร คือนึกพุทโธๆ นี่วิตก วิจาร เวลาจิตมันสงบมันเกิดปีติ ปีติยิ่งใหญ่นัก ปีติของแต่ละบุคคล ปีติถึงขนาดรู้วาระจิตได้ ปีตินะ เวลาร่างกายว่างหมดเลย เวลานั่งอยู่นี่ในร่างกายเวิ้งว้าง มีแต่ผิวหนัง ในร่างกายเหมือนมีแต่อากาศ มันเป็นไปได้อย่างไร
มันเป็นไปได้ร้อยแปด ร้อยแปดเพราะเวรกรรมของสัตว์ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ใครทำมามากมาน้อยขนาดไหน ถ้าทำมามากมาน้อยขนาดไหนก็อยู่อำนาจวาสนาของสัตว์
สิ่งที่เกิดขึ้น เราเกิดขึ้นแล้ว จะบอกว่า นี่เป็นวาสนานะ ภาวนายังมีผลตอบแทนไง
ทุกข์ควรกำหนด สุขล่ะ
ทุกข์ควรกำหนด นั่งภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแสนทุกข์แสนยาก ควบคุมใจของตนทุกข์ยากมาก สิ่งที่มันฟุ้งซ่าน มันคิดไปโดยธรรมชาติของมัน เราพยายามจะยับยั้งอยู่ให้มันปล่อยวาง ให้มันปล่อยวาง มันจะปล่อยวางได้อย่างไร
ยิ่งอยากให้ปล่อยวางมันยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งอยากให้มันละมันวาง มันยิ่งว่าเป็นของมันทั้งสิ้น แต่ถ้าเราพุทโธๆ โดยข้อเท็จจริง มันวางโดยสัจจะ มันวางโดยสัจจะไง พุทโธๆ อยู่กับพุทโธ ไม่ไปรับรู้สิ่งใด แล้วถ้าจิตมันสงบของมันขึ้นมามันจะมีความปกติสุข
แล้วมีความปกติสุขแล้วมันก็เข้าใจ นี่มันคืออะไร
คนส่วนใหญ่แล้วทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่ได้ แต่จำชื่อสมาธิ และอาการของสมาธิ เวลาจิตมันเริ่มภาวนาไป มันเลยว่างๆ ว่างๆ เวิ้งว้างๆ ไม่มีอะไรเลย เพราะไม่มีอะไรหมายความว่าเขาไม่ได้สัมผัสข้อเท็จจริงอะไรเลย
แต่ถ้ามันเป็นสมาธินะ มันพุทโธๆๆ จนพุทโธมันคล่องแคล่วนะ พุทโธมันกลมกลืน เห็นไหม ไปแล้ว พุทโธจนไม่ต้องพุทโธ มันพุทโธไปเองเลย
มีคนภาวนามากบอกว่า ผมไม่ได้นึกพุทโธนะ มันพุทโธเอง พุทโธๆ จนพุทโธมันละเอียด จนมันวางพุทโธได้ งงอีก งงไปหมดเวลามันเป็นจริงน่ะ
เพราะสมาธิคือจิตเป็นหนึ่ง ไม่สัมผัสอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่างๆ จิตมันสัมผัสอารมณ์ อารมณ์ว่าว่าง เพราะเราฝึกหัด เราอยากได้สมาธิ สมาธิคือความว่าง มันก็ว่าว่าง แล้วใครสัมผัสว่างล่ะ นี่มันเป็นสองไง มันอารมณ์กับจิตมันสัมผัส เสวย มันถึงว่าว่าง แต่ถ้าจิตมันเป็นหนึ่ง มันไม่เสวยว่าง ตัวมันว่าง เฮ้ย! งงเว้ย เฮ้ย! งงว่ะ
ถ้าคนทำสมาธินะ จะงง แต่ถ้าคนมีความชำนาญแล้ว เข้าใจแล้ว จบ สมาธิเป็นสมาธิ ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ว่างๆ ว่างๆ จิตมันพาดพิงอารมณ์ที่เราสร้างว่าว่าง เพราะสมาธิคือความว่าง มันต้องเป็นความว่าง เพราะมันไม่ว่าง มันอยากว่าง มันก็เลยสร้างตัวว่าว่าง มันก็เลยเป็นสองไง อยู่อย่างนั้นน่ะ ฉะนั้นถึงบอกว่าทำสมาธิไม่เป็น ถ้าทำสมาธิไม่เป็นมันก็ไม่มีสมาธิ ไม่มีสมถกรรมฐาน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมิจฉาทั้งสิ้น
ถ้ามันจะเป็นสัมมาโดยความชอบธรรม เพราะเรามีความสามารถอย่างนี้ มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญาใคร่ครวญจนมันเท่าทันที่ความใคร่ครวญนั้น มันปล่อยความใคร่ครวญนั้นมันก็มาหยุด ไม่พาดพิงไง เดี๋ยวมันก็พาดพิงอีกแล้ว นี่พูดถึงจิต
ฉะนั้น สิ่งที่เราทำๆ เราทำขึ้นมา ที่พูดนี้จะบอกว่า พูดแบบผู้รู้ อธิบายได้ เข้าใจได้ แต่ผู้ไม่รู้ พูดจนตายก็ไม่รู้ แล้วอารมณ์กูเป็นอย่างนี้มันคืออะไรวะ แล้วไอ้ถ้าไม่รู้นะ มันขวนขวายจนตายมันก็ไม่รู้ แต่ถ้ามันทำเป็น มันรู้ นี่พูดถึงโดยข้อเท็จจริง
แต่ถ้าเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ อาการที่เกิดขึ้นไม่เสียหาย ไม่มีสิ่งใดทำให้ผิดพลาด มันเป็นประสบการณ์ มันเป็นบุญกุศลของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอจิตมันแบบว่าสมดุล จิตมันเริ่มมีกำลังของมัน มือนั้นถึงมีความสัมผัสว่าในท้องตัวเองก็ไม่มี มือวางอยู่บนท้อง แต่ทำไมความสัมผัสไปถึงไขสันหลังล่ะ ท้องไม่มีอะไรเลย
แค่สัมผัสไง ไม่เสียหาย แต่อาการนั้นก็ผ่านไปแล้ว อาการนั้นเป็นอาการหนึ่งที่เป็นประสบการณ์ของจิตได้สัมผัสหนหนึ่ง แล้วถ้ามันเกิดขึ้นครั้งต่อไปมันจะเกิดขึ้นเป็นปัจจุบันโดยความเป็นอย่างอื่น
ถ้าจะเป็นอย่างนี้มันจะเป็นสัญญา มันเป็นความจำแล้ว พาดพิงของเก่า พาดพิงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แล้วคิดว่าทำแล้วเดี๋ยวมันจะเกิดขึ้นแบบนั้นอีก หรือถ้าจะทำแล้วมันต้องเจอแบบนั้นอีก ก็ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาไง อยากเป็นหรือไม่อยากเป็น อยากอยู่เฉยๆ อยากได้อย่างนั้น หรือไม่อยากได้อย่างนั้น แต่ถ้าปัจจุบันมันจะเกิดอย่างไรก็ได้ แต่เราต้องมีสติฝึกหัดอย่างนี้ต่อไป
ฉะนั้นบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอาการ เป็นประสบการณ์ของจิต ประสบการณ์ว่าจิตมันมีกำลังของมัน มันถึงรับรู้อย่างนั้นได้ จิตรับรู้ แต่ร่างกายยังเป็นปกติ ร่างกายคือร่างกายปกติ
เพราะมีกายกับใจ เวลาฝึกหัดๆ เวลาประพฤติปฏิบัติ เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติที่ใจ ใจนี้อยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายกับใจ อายตนะมันสัมผัสกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่มันสัมผัสกัน นี่คือการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติโดยอริยสัจ โดยสัจจะ โดยความจริง
แล้วควรทำอย่างไรต่อไป
พุทโธของเราต่อเนื่องไป วางใจของเราให้อยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในรัตนตรัยของเรา แล้วฝึกหัดของเราต่อเนื่องไป อะไรจะเกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน อะไรจะเกิดขึ้นรับรู้ รับรู้ด้วยสติด้วยปัญญา
สติปัญญานะ จิตของเราถ้าไปรู้ไปเห็นสิ่งใดที่มันทั้งสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่สนใจ เราก็อยู่กับผู้รู้ สิ่งที่จะชอบหรือไม่ชอบ เวลามันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากเวรกรรมของสัตว์ แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้น เห็นแล้วมันชอบใจ เห็นแล้วอยากจะได้เป็น มันก็เป็นอดีตอนาคตที่เราจะปรารถนาอย่างนั้น ถ้าหมดกำลังมันก็หมดการเห็นอย่างนั้น
ฉะนั้น จะเห็นสิ่งใด เราอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ แล้วมีสติสัมปชัญญะ เราเป็นผู้บริหารจัดการ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวสิ่งใด
แต่กลัวและตกใจ เพราะมันธรรมดา เหมือนคนกลัวผี ไม่เคยเห็นผีเลย แต่กลัวผีน่าดูเลย
นี่เหมือนกัน อาการที่จะภาวนายังไม่เกิดขึ้นอะไรเลย วิตกกังวลไปหมด
ไม่ต้อง อะไรจะเกิดขึ้นตั้งสติไว้
กว่าที่เราจะพูดอย่างนี้ได้ เราก็ตกใจมาเกือบตายเหมือนกัน เราก็ตกอกตกใจมาทั้งนั้นน่ะ ไปรู้ไปเห็นอะไร อู๋ย! มันอะไรวะ มันคืออะไรวะ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว อ๋อ! ก็มึงบ้า จบเลย ก็มึงบ้า ถ้ามึงหายบ้ามันก็ไม่มีไง เหมือนกัน กว่าจะพูดอย่างนี้ได้มันก็ตกใจมาเหมือนผู้ถามนี่แหละ แต่นี่เป็นคำถามไง
เราถึงบอกว่า จะรู้จะเห็นสิ่งใดมันเป็นธรรมไง เป็นธรรมเพราะทำความสงบ จิตมีกำลัง มันรู้มันเห็น ถ้าจิตไม่มีกำลังหรือเราทำแล้วจิตไม่สงบ มันก็รู้เห็นโดยสัญญา ถ้ารู้เห็นโดยสัญญา ไม่ตกใจเลย เพราะมันมีข้อมูลเดิมอยู่แล้วไง สัญญา
จะรู้จะเห็นอะไรก็ เออ! ธรรมดา ก็เข้าใจอยู่ ไม่กลัว ไม่ตกใจ ถ้ามันจะรู้จะเห็นโดยสัญญา โดยข้อมูลที่เรามี แต่ถ้ามันจะรู้จะเห็นโดยธรรม เฮ้ย! มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรวะ เฮ้ย! เฮ้ย! เลยนะ
แต่มันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอก มันเป็นเพราะเอ็งมีบุญมันถึงได้เป็นให้เอ็งรับรู้ ถ้ารับรู้โดยธรรมเป็น เป็นยิ่งกว่านี้อีกถ้ามันจะเป็น แต่ไม่มีอะไรบุบสลาย ไม่มีอะไรเสียหาย ร่างกายและจิตใจเหมือนเดิม แต่อาการ จิตที่มันมีประสบการณ์ มันทำให้รู้ ทำให้เห็น เพื่ออะไร
ไตรลักษณ์ไง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน แต่ถ้าจิตมีกำลัง มันรู้โดยไวๆ อย่างนั้นน่ะ ไวๆ ไง รู้โดยพับๆๆ ไวมาก ถ้าจิตมันมีกำลัง ถ้าจิตไม่มีกำลัง จะให้เป็นแบบนี้ ไม่มีสิทธิ์ นึกให้เป็นก็ไม่เป็น นึกให้เห็นก็ไม่เห็น แต่ถ้ามันเป็น มันเป็นอย่างนี้ ถึงให้เป็นปัจจุบัน
อันนี้พูดถึงว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะคำถามไง สงสัยเรื่องร่างกาย ทำไมท้องมันแห้งยุบจนติดผิวหนังเลย แล้วพอมาคิดได้ แว็บหนึ่งไปติดร่างกาย มันเหมือนกับหนังหุ้มกระดูกอีกแล้ว แต่มันก็ไม่ประกอบไปด้วยอวัยวะอีกนะ นี่เป็นปัญญาแล้ว แต่มันเกิดขึ้นโดยกำลังของพุทโธ โดยกำลังของสมาธิ เวลาธรรมเกิด เกิดขึ้นโดยสัจธรรม แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ มันปั้นมันแต่ง มันทำให้ร้อยแปดพันเก้า แล้วไม่ใช่เป็นความจริงทั้งสิ้น
ฉะนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่เสียหาย เป็นประสบการณ์จริง เป็นประสบการณ์ของการปฏิบัติ แล้วฝึกหัดต่อเนื่องไป ทำต่อเนื่องเพราะอะไร เพราะการฝึกหัดปฏิบัติไง ในพระไตรปิฎกนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ผลเพราะขาดการปฏิบัติต่อเนื่อง
ปฏิบัติโดยความสม่ำเสมอ นี่มันเกิดขึ้นแล้ว กำหนดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม นั่นคือเหตุ เหตุนี้ทำให้เราได้ผลขึ้นมา กำหนดเหตุอย่างนั้น แล้วถ้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ตั้งสติไว้ มันเป็นบุญและเป็นบาปของเราเอง มันเป็นกุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นสมบัติของเรา จบ
ถาม : เรื่อง “กายแว็บ”
มาภาวนาที่วัดช่วงนี้ จิตเห็นแว็บ ๓ วินาทีมา ๓ ครั้งแล้ว แต่ไม่ได้เกิดตอนเดินจงกรมหรือนั่งสมาธินะคะ แว็บมาตอนไม่ได้ตั้งใจภาวนาค่ะ
ตอบ : คำถามนะ ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ โอ้โฮ! ไอ้นี่มันเป็นหนังสือธรรมะเลยล่ะ ถามแค่นี้ก็พอ เห็นไหม ถามว่า “มาภาวนาที่วัดช่วงนี้ จิตเห็นกายแว็บ ๓ วินาทีมา ๓ ครั้งแล้ว แต่ไม่ได้เกิดตอนเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิ แว็บมาตอนที่ไม่ได้ตั้งใจภาวนาค่ะ”
นี่พูดถึงว่า เขามาภาวนาที่วัด แล้วเขาเห็นกายขึ้นมา พอจับต้องร่างกาย เห็นร่างกายเป็นโครงกระดูก
อันนี้เป็นการฝึกหัดปฏิบัติ เพราะเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ถ้ามันเป็นปัจจุบันธรรมจะเห็นอย่างที่เขาบอก ๑ ๒ ๓ นี่แหละ ถ้าเห็น ๑ ๒ ๓ คนที่ฝึกหัดปฏิบัตินะ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วน้อมไปเห็นกาย ถ้าเห็นกาย เห็นกายโดยจิตตภาวนา เห็นกายโดยสติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนาไง
ถ้ากายานุปัสสนา จิตตั้งมั่น เห็นกายแบบนั้นแล้วรำพึงให้มันแปรสภาพ ให้เป็นไตรลักษณ์ แว็บ แว็บ แว็บ แว็บ โอ้โฮ! มันไปหมดนะ มันไปโดยความมหัศจรรย์เลย กายนี้ย่อยสลายไปเลย ให้กายมันจะเปื่อยเน่าอย่างไรก็ได้ ถ้ามันเปื่อยเน่า มันเปื่อยเน่าโดยเห็นร่างกายนะ แต่ถ้ามันเห็นแว็บไวๆ อย่างนี้ มันเผา มันแปรสภาพ เห็นหมดน่ะ ถ้าสิ่งนั้นคือผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเป็นบุคคลคู่ที่ ๑ ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล คำว่า “โสดา” นี่บุคคลคู่ที่ ๑ ไง
แต่ถ้าเราเป็นปุถุชน กัลยาณชน ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้มันไม่สมบูรณ์แบบไง เวลาเห็นอะไรมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ คือมันทำงานไม่ได้ ถ้าเรามาวัดมาวา เราทำความสงบของใจเข้ามาๆ ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อสัมมาสมาธิ ถ้าให้จิตมันตั้งมั่น ให้จิตมันตั้งมั่น ให้มันมีความสงบสุข
ฉะนั้น เวลาฝึกหัดปฏิบัติ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ถ้าสมถกรรมฐาน เพราะเราฝึกหัดปฏิบัติ เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนว่า ให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
ถ้าใจสงบเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญามันจะเป็นโลกุตตรธรรม ถ้าปกติเราใช้สติปัญญาของเรามันเป็นโลกียธรรม
เราไม่มีปัญญาหรือ เราคิดไม่เป็นหรือ คิดเป็นทั้งนั้นน่ะ แต่คิดเป็น โลกียธรรม ถ้าโลกียธรรมคิดแบบโลกๆ ไง แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาๆ ใจเป็นสัมมาสมาธิ สมถกรรมฐาน ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้คือเห็นกายได้
ที่แว็บๆ อย่างนี้คือเห็นกายได้
เห็นกายก็ได้ เห็นเวทนาก็ได้ เห็นจิตก็ได้ เห็นธรรมก็ได้ สติปัฏฐาน ๔ เพราะเวรกรรมของสัตว์มันไม่เหมือนกันไง การฝึกหัดปฏิบัติมันมีแนวทางกาย เวทนา จิต ธรรม กายก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตก็ได้ ธรรมก็ได้ คำว่า “ก็ได้” ต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เป็นสมถกรรมฐาน ถ้ามันยกขึ้นวิปัสสนาได้ เห็นไหม เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันเห็นกายอย่างนั้น
ถ้าเห็นกายใช่ไหม เห็นกายเป็นอวัยวะ ที่แว็บๆ มา เขาเห็นว่าเห็นกายเป็นท้องแขน เห็นกายเป็นสิ่งต่างๆ มันเป็นไตรลักษณ์คือมันแปรสภาพให้เห็น สะดุ้งเลยล่ะ มันจุกหัวใจเลยล่ะ
นี่แค่เห็นโดยการเป็นตัวอย่างการฝึกหัด ยังไม่เป็นความจริงไง
ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้ามันตั้งมั่นได้นะ มันเห็นกายอย่างนั้นมันแปรสภาพฟ้าบ ฟ้าบ ครั้งเดียวก็ได้ ๒ ครั้งก็ได้ ๓ ครั้งก็ได้ บางทีได้ครั้งเดียว ครั้งที่ ๒ ไม่ได้ ไม่ได้เพราะกำลังสมาธิไม่พอ ถ้ามันได้ มันใช้กำลังไปเท่าไร เวลาฝึกหัดปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็น ท่านจะเป็นของท่านอย่างนั้น
ฉะนั้น ต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วสิ่งที่รู้ที่เห็น ไม่ต้องไปเสียใจและไม่ต้องไปตกใจ กลับมาทำความสงบของใจ ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้วอยากจะเห็นอย่างนั้นอีก แล้วจะตะครุบอย่างนั้นนะ เตลิดเปิดเปิงไปเลย เพราะอะไร เพราะมันส่งออกหมดไง
เพราะสิ่งที่รู้ที่เห็น เราเห็นคือจิตเห็น จิตมันเห็น จิตมันเห็นผ่านตาก็ได้ ผ่านใจก็ได้ ถ้าจิตมันเห็น มันเห็นเพราะอะไร เพราะจิตมันเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันมีกำลัง
ถ้าจิตมันไม่มีสัมมาสมาธิ สิ่งที่นึกภาพแบบนั้นเป็นสัญญา นึกครั้งแรกมันจะมีอารมณ์บ้าง นึกครั้งต่อไปจืด นึกครั้งต่อไปเบื่อหน่าย นี่คือนึกเอา
แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ พอจิตมันสงบ ถ้ามันเห็นกาย มันไม่ใช่นึก นั้นคือกายานุปัสสนา กายานุปัสสนา พิจารณากายในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ถ้าเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จริง คือจิตสงบ จิตเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมถกรรมฐาน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาจะเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา
นึกเอา คิดเอา สติปัฏฐาน ๔ โลกๆ สติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆ คือใครปลอม ใครคิดก็ได้ ใครทำก็ได้ แล้วเวลาคิดได้ก็บอกว่า “เป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ เป็นกายานุปัสสนา” ก็พูดกันไป เพราะนั่นเป็นทฤษฎี เป็นศาสดา ธรรมและวินัย แต่ความจริงล่ะ
กิเลสมันอยู่ที่เรานะ กิเลสมันไม่ได้อยู่ในตำรา หลวงปู่มั่นบอกไง มหา มาหาอะไร มาหานิพพานหรือ ไม่ใช่อยู่ในตำรา อยู่ในอากาศ ไม่ได้อยู่ที่ใครเลย อยู่ที่ใจผู้ที่แสวงหานั่นแหละ ถ้าใจของผู้แสวงหาชำระล้างได้ นั่นล่ะตัวจริงอยู่ที่นั่น แต่จะฝึกหัดก็ต้องมีสัมมาสมาธิเป็นตัวจริงฝึกหัดปฏิบัติไง
ฉะนั้น การเห็นครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔
โอ้โฮ! เกือบตายถ้าอ่านน่ะ
เหมือนกันทั้งนั้น มาจากสมุฏฐานเดียวกัน สมุฏฐานเดียวกัน เราสิ่งใดที่เกิดขึ้น สาธุ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสิ่งใดที่มันทำแล้วมันเป็นประโยชน์กับเรานะ นั่นน่ะผลประโยชน์ของเรา
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางในพระพุทธศาสนา แนวทางของศาสดา สาวกสาวกะได้ยินได้ฟังแล้วฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้เราเป็นความจริงของเราขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันมหัศจรรย์นะ
นี่แค่เห็น แค่เห็นยังฝังใจขนาดนี้ แล้วถ้าวิปัสสนาไปนะ มันสำรอกมันคาย เวลามันขาด ขณะ นิโรธ มันจะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร
ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล พูดทุกวัน ถ้าใจจะมีมรรคมันต้องมีอย่างนี้ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีงานชอบ เพียรชอบ สติระลึกชอบ ความชอบธรรมในมรรค ๘
ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล
การฝึกหัดไม่มีข้อเท็จจริง เอ็งฝึกหัดอะไร นิยายธรรมะทั้งนั้น นี่ไง ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีสิ่งใดเลย บรรลุธรรมได้อย่างไร
เวลากิเลส ไม่ต้องไปหามัน มันอวิชชาพญามารที่เอ็งเกิดนั่นแหละ เอ็งเกิดมาเป็นคนมันมีเจ้าวัฏจักร มันมีพญามาร กิเลสทั้งตัว กิเลสทั้งนั้น
เวลาฝึกหัดธรรมะพระพุทธเจ้า กว่ามึงจะค้นหาสติ แค่จะยับยั้งความคิด ทำสมาธิได้เพราะมันวางกิเลสตัณหาความทะยานอยากได้ ถ้าวางไม่ได้ กิเลสมันควบคุมอยู่ มันจิกหัวนะ แล้วบังคับไสให้เราคิดอย่างนั้นๆๆ มันจิกหัวบังคับให้เราทำอย่างนั้นๆๆ ทำตามมันหมดโดยไม่รู้ตัว
ถ้าจิตสงบแล้วจะฝึกหัดเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาของตนเองขึ้นมาบ้าง จะมหัศจรรย์ มหัศจรรย์กว่าสิ่งที่เห็น
นี่แค่เห็นไง เราถึงเห็นคุณค่าไง ใจดวงใดมีมรรคไง ถ้าใจดวงใดมีมรรคมันมีศีลมีธรรม มันจะทำความชั่วไหม เพราะความชั่วมันดึงใจลงสู่โคลมตม สู่มาร เรายอมไหม เราแสวงหาไหม
ฉะนั้น ถ้าจิตมันมีกำลัง จิตมันเป็นสัมมาสมาธิได้ มันมีศีลมีธรรม มันไม่อีลุ่ยฉุยแฉก ไอ้นี่ปากพูดธรรมะนะ แต่พฤติกรรมอย่างกับโจร เฮ้ย! กูก็งงว่ะ
แต่ตามความเป็นจริงเราเคารพบูชาธรรมและวินัย เราเคารพบูชาพระพุทธเจ้า เราเคารพหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติมาแล้วเป็นความจริง ท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ท่านก็ใช้ชีวิตแบบมนุษย์นี่แหละ แต่ท่านประหยัดมัธยัสถ์ ทางโลกก็เป็นเรื่องโลกๆ แต่หัวใจของท่านยิ่งใหญ่
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นเป็นเศรษฐีธรรม ถ้าทางโลกเหมือนผ้าขี้ริ้ว ไม่มีค่าทางโลก ทางโลกเห็นเป็นของไร้ค่า เพราะไม่มีคุณค่าทางโลก แต่ถ้าทางธรรมนะ เศรษฐีธรรม เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ท่านน่ะ ท่านสั่งสอนเทวดา อินทร์ พรหมได้ นั่นล่ะเศรษฐีธรรม ธรรมแท้ๆ ต้องเป็นแบบนั้น เอวัง